
วีระยุทธ สุภาคาร อดีตผู้บริหารภาคเอกชนที่มีความเชี่ยวชาญด้านพลังงานและเหมืองแร่ ได้ออกมาแสดงความเห็นเกี่ยวกับบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างประเทศไทยกับสหรัฐอเมริกาในกรอบความร่วมมือด้านการค้าแร่และวัตถุดิบสำคัญ ซึ่งครอบคลุมถึงแร่หายาก (Rare Earth) โดยเขามองว่าข้อตกลงดังกล่าวอาจทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบสหรัฐฯ และเสนอให้ไทยควรตั้งการ์ดสูงในการเจรจาและทำข้อตกลงเช่นเดียวกับที่มาเลเซียเคยดำเนินการมาแล้ว การแสดงความเห็นครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางการจับตาเรื่องศักยภาพของไทยในการเป็นแหล่งแร่หายาก และความร่วมมือกับชาติมหาอำนาจในการพัฒนาอุตสาหกรรมในอนาคต
ประเด็นสำคัญจาก: วีระยุทธ ชี้ MOU แรร์เอิร์ธไทยเสียเปรียบสหรัฐฯ แนะตั้งการ์ดสูงแบบมาเลฯ
ประเด็นหลักที่นายวีระยุทธ สุภาคาร แสดงความกังวลคือ บันทึกความเข้าใจเรื่องแร่หายากดังกล่าวนั้นมีรายละเอียดที่เอื้อประโยชน์ให้กับสหรัฐอเมริกาเป็นหลัก โดยเฉพาะการเข้าถึงแหล่งแร่และวัตถุดิบสำคัญของไทยเพื่อนำไปใช้ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงของสหรัฐฯ ในขณะที่ไทยอาจไม่ได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่ในแง่ของการพัฒนาเทคโนโลยี การถ่ายทอดองค์ความรู้ หรือการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับแร่ที่ขุดได้ภายในประเทศ การทำ MOU โดยไม่มีเงื่อนไขที่รัดกุมและเป็นประโยชน์ต่อชาติ อาจทำให้ไทยต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่กลายเป็นเพียงผู้ป้อนวัตถุดิบให้แก่ประเทศอุตสาหกรรมโดยไม่สามารถยกระดับตนเองขึ้นเป็นผู้เล่นในห่วงโซ่คุณค่าที่สูงขึ้นได้
นอกจากนี้ นายวีระยุทธยังได้ยกตัวอย่างกรณีของมาเลเซียที่เคยกำหนดเงื่อนไขที่เข้มงวดกับบริษัทต่างชาติในการทำเหมืองและแปรรูปแร่หายาก โดยมาเลเซียให้ความสำคัญกับการพัฒนาอุตสาหกรรมภายในประเทศ การถ่ายทอดเทคโนโลยี และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่สนับสนุนการแปรรูปแร่ เพื่อให้ประเทศได้รับประโยชน์สูงสุด ไม่เพียงแต่จากการขายวัตถุดิบดิบเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการสร้างงาน การเพิ่มมูลค่า และการยกระดับขีดความสามารถทางเทคโนโลยีของชาติ การที่ไทยไม่ได้เรียนรู้จากกรณีศึกษาเช่นนี้และอาจเร่งรีบทำ MOU โดยไม่มีการศึกษาผลกระทบอย่างรอบด้าน จึงเป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง
รายละเอียดต่อยอดจากประเด็นข้างต้น
การทำความเข้าใจถึงศักยภาพของแร่หายากในประเทศไทยเป็นสิ่งสำคัญ รัฐบาลไทยได้มีการสำรวจและพบว่าประเทศไทยมีแหล่งแร่หายากอยู่บ้างในบางพื้นที่ แต่ยังไม่มีการประเมินปริมาณสำรองที่ชัดเจนและศักยภาพเชิงพาณิชย์ที่แท้จริง แร่หายากมีความสำคัญอย่างยิ่งต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีสมัยใหม่ อาทิ การผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า เซลล์เชื้อเพลิง อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง และเทคโนโลยีป้องกันประเทศ การที่สหรัฐฯ ให้ความสนใจในแร่กลุ่มนี้สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของสหรัฐฯ ที่จะลดการพึ่งพิงจีน ซึ่งเป็นผู้ผลิตและแปรรูปแร่หายากรายใหญ่ที่สุดของโลก การที่ไทยเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานแร่หายากของสหรัฐฯ จึงเป็นทั้งโอกาสและความเสี่ยงในเวลาเดียวกัน
ข้อเสนอแนะของนายวีระยุทธที่ให้ไทย “ตั้งการ์ดสูง” เหมือนมาเลเซีย หมายถึงการที่ไทยควรพิจารณาข้อกำหนดและเงื่อนไขใน MOU อย่างรอบคอบ โดยมุ่งเน้นไปที่การสร้างผลประโยชน์ร่วมกัน การเจรจาควรครอบคลุมถึงประเด็นการลงทุนในการแปรรูปแร่ภายในประเทศ การถ่ายทอดเทคโนโลยีและการสร้างบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ การดำเนินการตามมาตรฐานสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวด และการกำหนดส่วนแบ่งรายได้ที่เป็นธรรมให้กับประเทศไทย การไม่ให้สหรัฐฯ เข้าถึงทรัพยากรเฉพาะแหล่งแร่ดิบเพียงอย่างเดียว แต่ควรมองไปถึงการสร้างอุตสาหกรรมต่อเนื่องและห่วงโซ่คุณค่าภายในประเทศ เพื่อให้ไทยสามารถยกระดับจากผู้ส่งออกวัตถุดิบไปสู่การเป็นผู้ผลิตสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น การมีเพียง MOU ที่มุ่งเน้นการจัดหาวัตถุดิบเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอที่จะสร้างความยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรมแร่ของไทยในระยะยาว
สรุปข่าวทั้งหมด
ข้อกังวลของนายวีระยุทธ สุภาคาร เกี่ยวกับบันทึกความเข้าใจเรื่องแร่หายากระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกา ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นที่ประเทศไทยจะต้องพิจารณาผลประโยชน์ของชาติอย่างรอบคอบในการทำข้อตกลงระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์เช่นแร่หายาก การเรียนรู้จากตัวอย่างของมาเลเซียที่สามารถกำหนดเงื่อนไขที่เอื้อประโยชน์ต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมภายในประเทศได้ ถือเป็นบทเรียนอันมีค่าที่ไทยควรนำมาพิจารณา การเจรจาควรมุ่งเน้นไปที่การสร้างมูลค่าเพิ่ม การถ่ายทอดเทคโนโลยี และการพัฒนาบุคลากร เพื่อให้ไทยสามารถก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นที่มีความสำคัญในห่วงโซ่อุปทานแร่หายากระดับโลก ไม่ใช่เพียงแค่ผู้ป้อนวัตถุดิบ ความเคลื่อนไหวของรัฐบาลไทยในการดำเนินการภายใต้ MOU นี้จึงเป็นสิ่งที่ต้องจับตาดูต่อไปว่าจะมีแนวทางในการปกป้องผลประโยชน์ของชาติและยกระดับอุตสาหกรรมแร่ได้อย่างไร
		
			











