ภาพประกอบข่าว:
เครดิตภาพ: https://www.pptvhd36.com

“โตโต้ ปิยรัฐ” จงเทพ อดีตหัวหน้าการ์ดกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นและตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับกรณีการบริจาคเสื้อเกราะและอุปกรณ์ป้องกันภัยแก่เจ้าหน้าที่อาสาสมัครพิทักษ์อุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช (อส.) ในพื้นที่ป่ารอยต่อ และเจ้าหน้าที่ตามแนวชายแดน โดยชี้ว่าการกระทำดังกล่าวอาจเข้าข่ายการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมยุทธภัณฑ์ พ.ศ. 2530 ซึ่งมีบทบัญญัติที่กำหนดให้เสื้อเกราะเป็นหนึ่งในยุทธภัณฑ์ที่ต้องได้รับอนุญาตในการมีไว้ในครอบครอง การผลิต หรือการค้า ซึ่งประเด็นนี้กำลังเป็นที่จับตา โดยเฉพาะในบริบทที่เกี่ยวข้องกับการสนับสนุนเจ้าหน้าที่ภาคสนาม แต่กลับต้องเผชิญกับข้อจำกัดทางกฎหมายที่เข้มงวด

ประเด็นสำคัญจาก: “โตโต้ ปิยรัฐ” ชี้ปมบริจาคเสื้อเกราะเข้าข่ายผิดกฎหมายควบคุมยุทธภัณฑ์

“โตโต้ ปิยรัฐ” ได้เน้นย้ำถึงข้อกฎหมายที่ระบุว่าเสื้อเกราะเป็นยุทธภัณฑ์ประเภทหนึ่ง ตามมาตรา 4 ของพระราชบัญญัติควบคุมยุทธภัณฑ์ พ.ศ. 2530 ซึ่งกำหนดนิยามของ “ยุทธภัณฑ์” ไว้อย่างชัดเจนว่าหมายถึงอาวุธ เครื่องกระสุน วัตถุระเบิด เคมีภัณฑ์ ก๊าซพิษ เชื้อโรค รังสี หรือสิ่งอื่นใดที่สามารถนำไปใช้ในการรบ หรือการป้องกันภัยทางทหาร หรือเพื่อใช้ในการสงคราม ซึ่งรวมถึงเครื่องป้องกันตัวที่มีลักษณะเฉพาะทางยุทธวิธีเช่นเสื้อเกราะกันกระสุน ดังนั้น การครอบครอง การผลิต การนำเข้า หรือแม้แต่การบริจาคเสื้อเกราะ จึงต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด มิฉะนั้นจะถือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายและมีโทษทางอาญา

ผู้ที่บริจาคหรือรับบริจาคเสื้อเกราะ หากไม่ได้รับอนุญาตจากกระทรวงกลาโหมหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาจมีความผิดตามมาตรา 15 แห่งพระราชบัญญัติควบคุมยุทธภัณฑ์ พ.ศ. 2530 ซึ่งระบุว่า “ผู้ใดผลิต ซื้อ มี หรือจำหน่ายซึ่งยุทธภัณฑ์โดยไม่ได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรี ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือทั้งจำทั้งปรับ” นอกจากนี้ ยังรวมไปถึงการนำเข้าหรือส่งออกยุทธภัณฑ์โดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งจะมีบทลงโทษที่แตกต่างกันไป ทำให้เกิดความกังวลว่าความตั้งใจดีในการช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ อาจกลายเป็นการกระทำที่เข้าข่ายความผิดทางกฎหมายได้ หากขาดความเข้าใจในข้อบังคับที่ซับซ้อนนี้

การชี้ประเด็นนี้ของนายปิยรัฐ ไม่ได้เพียงแต่เป็นการเตือนถึงความเสี่ยงทางกฎหมาย แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงช่องว่างและความซับซ้อนของกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับยุทธภัณฑ์ ซึ่งอาจไม่เอื้ออำนวยต่อการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ผู้พิทักษ์ป่าและชายแดนเท่าที่ควร ในขณะที่พวกเขาต้องเผชิญกับภัยคุกคามรอบด้าน การเข้าถึงอุปกรณ์ป้องกันตัวที่จำเป็นกลับถูกจำกัดด้วยขั้นตอนทางกฎหมายที่เข้มงวด ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อขวัญกำลังใจและความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานโดยตรงในพื้นที่เสี่ยงภัย

รายละเอียดต่อยอดจากประเด็นข้างต้น

ประเด็นที่นายปิยรัฐหยิบยกขึ้นมานั้น มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพิจารณานโยบายและการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับชุดอุปกรณ์ป้องกันตัวสำหรับบุคลากรที่มิใช่ทหารหรือตำรวจ ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่อันตราย กฎหมายควบคุมยุทธภัณฑ์ พ.ศ. 2530 ถูกออกแบบมาเพื่อควบคุมการเคลื่อนย้ายและการครอบครองยุทธภัณฑ์โดยทั่วไป เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของประเทศ แต่ในทางปฏิบัติ กฎหมายนี้อาจสร้างความยุ่งยากให้กับกลุ่มบุคคลที่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ดังกล่าวเพื่อความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน เช่น เจ้าหน้าที่อาสาสมัครพิทักษ์ป่าที่ต้องเผชิญหน้ากับผู้ลักลอบตัดไม้ทำลายป่า หรือกลุ่มขบวนการค้าของเถื่อนตามแนวชายแดน ซึ่งมีอาวุธครบมือ ความล่าช้าในการขออนุญาต หรือการขาดความเข้าใจในกระบวนการ อาจทำให้เจ้าหน้าที่เหล่านี้ต้องปฏิบัติหน้าที่โดยปราศจากอุปกรณ์ป้องกันที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสถานการณ์จริง

นอกจากนี้ ยังมีคำถามเกี่ยวกับเจตนารมณ์ของกฎหมายเมื่อนำมาใช้กับกรณีการบริจาคเพื่อสาธารณประโยชน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้รับบริจาคเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ปฏิบัติงานในระดับปฏิบัติการ ซึ่งต้องเผชิญกับสถานการณ์เสี่ยงภัยอยู่เสมอ การที่ภาคประชาชนหรือองค์กรอิสระมีความประสงค์จะสนับสนุนอุปกรณ์ป้องกันภัยให้แก่เจ้าหน้าที่ ถือเป็นการแสดงออกถึงความห่วงใยและความร่วมมือในการรักษาความปลอดภัยของประเทศ อย่างไรก็ตาม ด้วยข้อจำกัดทางกฎหมายปัจจุบัน อาจทำให้ความตั้งใจดีเหล่านี้ต้องหยุดชะงักลง หรืออาจนำไปสู่ปัญหาทางกฎหมายโดยไม่ตั้งใจ จึงเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่งที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องพิจารณาทบทวนหรือหาแนวทางในการอำนวยความสะดวกให้แก่การดำเนินการที่โปร่งใสและตรวจสอบได้ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ได้รับอุปกรณ์ที่จำเป็นอย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยไม่ก่อให้เกิดภาระทางกฎหมายแก่ผู้ปรารถนาดี

สรุปข่าวทั้งหมด

การตั้งข้อสังเกตของ “โตโต้ ปิยรัฐ” เกี่ยวกับการบริจาคเสื้อเกราะและอุปกรณ์ป้องกันภัยแก่เจ้าหน้าที่ อส. และเจ้าหน้าที่ตามแนวชายแดน ว่าอาจเข้าข่ายการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมยุทธภัณฑ์ พ.ศ. 2530 นั้น ได้จุดประเด็นสำคัญเกี่ยวกับความท้าทายในการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับยุทธภัณฑ์กับภารกิจที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของคำนิยาม การครอบครอง การผลิต หรือการบริจาค ล้วนต้องปฏิบัติตามกฎหมายที่เข้มงวด การที่ความตั้งใจดีในการสนับสนุนอุปกรณ์ป้องกันตัวอาจนำไปสู่ปัญหาทางกฎหมายได้นั้น สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นในการพิจารณาทบทวนหรือปรับปรุงแนวทางปฏิบัติ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และเอื้อต่อการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่เสี่ยงภัย โดยไม่ขัดต่อเจตนารมณ์ของกฎหมายในการรักษาความมั่นคงของชาติ และจะต้องมีการแก้ไขในลำดับต่อไป

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here