ภาพประกอบข่าว: 'ธนกร' ชี้ ไทย-สหรัฐ MOU แร่หายาก! บูมห่วงโซ่ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก
เครดิตภาพ: kanyanat_but

‘ธนกร’ ชี้ นายธนกร วังบุญคงชนะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ออกมากล่าวถึงความสำคัญของบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างประเทศไทยและสหรัฐอเมริกาในเรื่องแร่หายาก ว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยกระตุ้นการเติบโตของห่วงโซ่อุปทานแร่ธาตุที่สำคัญ และส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโลกโดยรวม การลงนาม MOU ครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของทั้งสองประเทศในการเสริมสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคอุตสาหกรรมที่กำลังเป็นที่ต้องการสูง เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ และพลังงานสะอาด ซึ่งล้วนต้องพึ่งพาแร่หายากเป็นส่วนประกอบสำคัญ การพัฒนาความร่วมมือดังกล่าวไม่เพียงแต่จะช่วยให้ไทยสามารถดึงดูดการลงทุนจากสหรัฐฯ ได้มากขึ้น แต่ยังเป็นการยกระดับตำแหน่งของไทยในฐานะผู้ผลิตและผู้ส่งออกแร่หายากที่สำคัญในตลาดโลกอีกด้วย

ประเด็นสำคัญจาก: ‘ธนกร’ ชี้ ไทย-สหรัฐ MOU แร่หายาก! บูมห่วงโซ่ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก

บันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างไทยและสหรัฐอเมริกาว่าด้วยความร่วมมือด้านแร่หายากนี้ ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจและพลังงานให้กับทั้งสองประเทศ แร่หายากเป็นกลุ่มของธาตุเคมีที่มีคุณสมบัติพิเศษและมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเทคโนโลยีสมัยใหม่ ตั้งแต่ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ในสมาร์ทโฟน ไปจนถึงแบตเตอรี่ของรถยนต์ไฟฟ้าและกังหันลม MOU ดังกล่าวจะมุ่งเน้นไปที่การสำรวจ การผลิต การแปรรูป และการพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับแร่หายาก เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์สูงสุดจากทรัพยากรเหล่านี้ การสร้างความร่วมมือนี้จะช่วยลดการพึ่งพาประเทศใดประเทศหนึ่งในการผลิตแร่หายาก ซึ่งเป็นประเด็นที่หลายประเทศทั่วโลกกำลังให้ความสำคัญ เนื่องจากความผันผวนทางการเมืองและเศรษฐกิจอาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานได้อย่างรุนแรง

บทบาทของประเทศไทยในฐานะผู้มีศักยภาพในการเป็นแหล่งแร่ธาตุจึงเป็นที่จับตามอง การร่วมมือกับสหรัฐฯ จะช่วยให้ไทยสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูงและองค์ความรู้ในการสกัดและแปรรูปแร่หายากได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การเพิ่มมูลค่าให้กับแร่ธาตุในประเทศ และสร้างงานให้กับแรงงานที่มีทักษะเฉพาะทาง นอกจากนี้ ความร่วมมือดังกล่าวยังเป็นการส่งเสริมให้เกิดการลงทุนจากภาคเอกชนสหรัฐฯ ในประเทศไทย ทั้งในด้านการสำรวจแหล่งแร่ใหม่ๆ และการตั้งโรงงานแปรรูป ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องและสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว การยกระดับความสามารถในการผลิตและแปรรูปแร่หายากของไทยให้ได้มาตรฐานสากล จะเป็นก้าวสำคัญในการขยับสถานะของประเทศให้เป็นศูนย์กลางผลิตแร่หายากในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งจะส่งผลให้ไทยมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีอิทธิพลอย่างมาก

การที่สหรัฐฯ ให้ความสนใจในการสร้างความร่วมมือกับไทยในประเด็นนี้ แสดงให้เห็นถึงความตระหนักของสหรัฐฯ ถึงความสำคัญของการกระจายแหล่งผลิตแร่หายาก เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากความขัดแย้งทางการค้าหรือความไม่มั่นคงทางภูมิรัฐศาสตร์ ในขณะเดียวกัน การร่วมมือนี้ยังสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลไทยที่ต้องการผลักดันเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) โดยเน้นการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน การพัฒนาอุตสาหกรรมแร่หายากภายใต้หลักการนี้จะช่วยให้ไทยสามารถสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมได้เป็นอย่างดี ความร่วมมือระหว่างสองประเทศจึงเป็นมากกว่าการแลกเปลี่ยนทรัพยากร แต่เป็นการสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับการพัฒนาอย่างยั่งยืนในอนาคต

รายละเอียดต่อยอดจากประเด็นข้างต้น

นอกเหนือจากการสำรวจและแปรรูปแร่หายากแล้ว MOU ฉบับนี้ยังครอบคลุมถึงขอบเขตความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับแร่หายาก ซึ่งรวมถึงการพัฒนาวัสดุทางเลือก การรีไซเคิลแร่หายากจากผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช้แล้ว และการสร้างกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเหล่านี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากรและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว สหรัฐฯ ซึ่งเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี จะสามารถแบ่งปันความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ให้กับนักวิจัยและผู้ประกอบการไทย เพื่อร่วมกันพัฒนานวัตกรรมที่จะตอบสนองความต้องการของตลาดโลกที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว โครงการวิจัยและพัฒนาร่วมกันจะเปิดโอกาสให้เกิดการถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีที่สำคัญ ซึ่งจะช่วยยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทยในเวทีโลก

นอกจากนี้ การสร้างห่วงโซ่อุปทานแร่หายากร่วมกันยังเป็นกลไกสำคัญในการดึงดูดการลงทุนจากบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของสหรัฐฯ มายังประเทศไทย การที่ไทยมีแหล่งแร่และศักยภาพในการแปรรูปแร่หายาก จะเป็นแรงจูงใจให้บริษัทเหล่านี้เข้ามาตั้งฐานการผลิตหรือร่วมลงทุนกับบริษัทไทย ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้ และถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับภาคอุตสาหกรรมของไทยอย่างเป็นรูปธรรม การลงทุนเหล่านี้จะทำให้ประเทศไทยกลายเป็นส่วนสำคัญในห่วงโซ่อุปทานแร่หายากระดับโลก และเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า พลังงานหมุนเวียน และ AI ซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาดโลกอย่างมาก การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับอุตสาหกรรมเหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านโลจิสติกส์และพลังงาน จะเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับห่วงโซ่อุปทานแห่งนี้

สรุปข่าวทั้งหมด

การลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างประเทศไทยและสหรัฐอเมริกาเพื่อร่วมมือด้านแร่หายาก เป็นก้าวสำคัญที่สะท้อนถึงการมองการณ์ไกลของทั้งสองประเทศในการสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจและพลังงานในระยะยาว การร่วมมือนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยเสริมสร้างห่วงโซ่อุปทานแร่ธาตุที่สำคัญให้มีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น แต่ยังเป็นการเปิดโอกาสให้ประเทศไทยได้พัฒนาศักยภาพในด้านการสำรวจ การผลิต และการแปรรูปแร่หายากด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย การลงทุนจากสหรัฐฯ และการถ่ายทอดองค์ความรู้ จะช่วยยกระดับภาคอุตสาหกรรมของไทยให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ และสร้างงานที่มีคุณภาพสูงให้กับประชาชนในประเทศ การร่วมมือดังกล่าวจะส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงทั่วโลก และเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลและพลังงานสะอาดในยุคปัจจุบัน ทั้งนี้ รัฐบาลไทยจะต้องวางแผนจัดการทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมอย่างรอบคอบ เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนและเป็นประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติในทุกมิติ

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here