
เกาะติดนโยบาย “ฝ่า ฟัน ดึง ดัน” ถือเป็นแนวทางสำคัญที่รัฐบาลมุ่งใช้เพื่อขับเคลื่อนการยกระดับและปฏิรูปภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยให้ก้าวทันการเปลี่ยนแปลงของโลกและสามารถแข่งขันได้ในเวทีสากล นโยบายนี้ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ไขปัญหาที่สั่งสมมานาน และเพื่อวางรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับการเติบโตในอนาคต โดยมุ่งเน้นการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมเดิมไปสู่มูลค่าเพิ่มที่สูงขึ้น และการสร้างอุตสาหกรรมใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูง ทั้งนี้ ยังรวมถึงการส่งเสริมการลงทุนทั้งในประเทศและจากต่างประเทศ ตลอดจนการพัฒนาบุคลากรให้มีทักษะรองรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต การดำเนินการตามนโยบายนี้มีความท้าทายอยู่มาก แต่ภาครัฐเชื่อมั่นว่าด้วยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน จะสามารถผลักดันให้ประเทศไทยก้าวพ้นจากกับดักรายได้ปานกลางและบรรลุเป้าหมายการเป็นประเทศที่มีรายได้สูงได้อย่างยั่งยืน
ประเด็นสำคัญจาก: เกาะติดนโยบาย “ฝ่า ฟัน ดึง ดัน” ยกเครื่องอุตสาหกรรมสู่อนาคต!
นโยบาย “ฝ่า ฟัน ดึง ดัน” เป็นแผนยุทธศาสตร์ที่รัฐบาลริเริ่มขึ้นเพื่อแก้ปัญหาสภาวะถดถอยและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมไทย โดยพุ่งเป้าไปที่การขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าและบริการ การ “ฝ่า” หมายถึงการฝ่าฟันอุปสรรคและข้อจำกัดต่างๆ ที่ขัดขวางการเติบโตของอุตสาหกรรม การ “ฟัน” คือการฟันฝ่าความท้าทายจากคู่แข่งและสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ส่วน “ดึง” คือการดึงดูดการลงทุนจากภาคเอกชนและต่างประเทศ รวมถึงการดึงเอาศักยภาพของทรัพยากรมนุษย์และภูมิปัญญาไทยมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และ “ดัน” คือการผลักดันให้อุตสาหกรรมไทยก้าวไปสู่เวทีโลก สร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่ง และขยายตลาดส่งออก
ประเด็นหลักของนโยบายนี้ยังรวมถึงการส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve) เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV), อุตสาหกรรมดิจิทัล, การแพทย์และสุขภาพ, ชีวภาพ และอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพในการสร้างรายได้สูงและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ รัฐบาลยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สนับสนุนอุตสาหกรรมเหล่านั้น เช่น การพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เพื่อเป็นศูนย์กลางการลงทุนและนวัตกรรม รวมถึงการพัฒนาทักษะแรงงานให้สอดคล้องกับความต้องการของอุตสาหกรรมสมัยใหม่ผ่านการฝึกอบรมและสถาบันการศึกษาเฉพาะทาง การดำเนินการทั้งหมดนี้มีเป้าหมายเพื่อพลิกโฉมภาคอุตสาหกรรมไทยให้แข็งแกร่งและยั่งยืนในระยะยาว
รายละเอียดต่อยอดจากประเด็นข้างต้น
การดำเนินการตามนโยบาย “ฝ่า ฟัน ดึง ดัน” ได้เน้นการผสานความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษา โดยรัฐบาลได้มีการออกแพ็กเกจส่งเสริมการลงทุนต่างๆ เช่น การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี การจัดตั้งกองทุนเพื่อสนับสนุนการวิจัยและพัฒนา รวมถึงการอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ เพื่อดึงดูดนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศให้เข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย นอกจากนี้ ยังมีการปรับปรุงกฎระเบียบและข้อบังคับที่อาจเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจ เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุนและการเติบโตอย่างยั่งยืน การเน้นการลงทุนในเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ จะช่วยให้ประเทศไทยสามารถแข่งขันกับประเทศชั้นนำได้ และลดการพึ่งพาอุตสาหกรรมดั้งเดิมที่มีความเสี่ยงด้านการแข่งขันสูงขึ้นเรื่อยๆ
หนึ่งในหัวใจสำคัญของนโยบายคือการพัฒนาบุคลากรให้มีทักษะที่จำเป็นสำหรับอุตสาหกรรมยุคใหม่ หรือ “Reskill” และ “Upskill” แรงงานปัจจุบัน รวมถึงการสร้าง “New Skill” ให้กับนักศึกษาและผู้ที่ประสงค์จะเปลี่ยนสายอาชีพ โดยมุ่งเน้นทักษะด้านดิจิทัล เทคโนโลยีขั้นสูง วิทยาศาสตร์ข้อมูล และวิศวกรรมต่างๆ ซึ่งจะช่วยแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานที่มีคุณภาพในอุตสาหกรรมเป้าหมาย นอกจากนี้ รัฐบาลยังส่งเสริมการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล เช่น 5G และ IoT (Internet of Things) เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 และยังมีการสนับสนุนผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ให้เข้าถึงเทคโนโลยีและแหล่งเงินทุน เพื่อให้สามารถปรับตัวและยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันได้ นี่คือองค์ประกอบสำคัญที่จะช่วยให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้อย่างเข้มแข็งในระยะยาว
สรุปข่าวทั้งหมด
นโยบาย “ฝ่า ฟัน ดึง ดัน” เป็นความพยายามเชิงกลยุทธ์ของรัฐบาลไทยในการพลิกโฉมภาคอุตสาหกรรมของประเทศ เพื่อให้สามารถรับมือกับความท้าทายทางเศรษฐกิจและแข่งขันได้ในระดับโลก ด้วยการมุ่งเน้นการสร้างมูลค่าเพิ่ม การนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ การส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย และการพัฒนาบุคลากรที่มีคุณภาพ นโยบายนี้ครอบคลุมการปรับปรุงกฎระเบียบและโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเติบโตของธุรกิจ การผลักดันนี้คาดว่าจะช่วยให้ประเทศไทยหลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลางและก้าวสู่การเป็นประเทศที่มีรายได้สูงได้ในอนาคต แต่การบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือและความมุ่งมั่นจากทุกภาคส่วนอย่างต่อเนื่องเพื่อขับเคลื่อนแผนงานเหล่านี้ให้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน












