
ก.ล.ต. ได้เริ่มต้นแนวคิดในการพัฒนาระบบชำระเงินดิจิทัล “TouristDigiPay” สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ เพื่อส่งเสริมการใช้เงินดิจิทัลในการจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศ โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการควบคุมดูแลที่รัดกุมเพื่อป้องกันปัญหาการฟอกเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำเทคโนโลยี Know Your Customer (KYC) และ Blockchain เข้ามาใช้ในการยืนยันตัวตนและติดตามธุรกรรมอย่างโปร่งใสและมีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ใช้งานและลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้เงินดิจิทัลในกลุ่มนักท่องเที่ยว ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้านการเงินดิจิทัลของประเทศไทยให้ทัดเทียมกับมาตรฐานสากล พร้อมรองรับการเติบโตของภาคการท่องเที่ยวในยุคดิจิทัลได้อย่างมั่นคง
ประเด็นสำคัญจาก: ก.ล.ต. ปูทาง “TouristDigiPay” ระบบจ่ายเงินดิจิทัลนักท่องเที่ยว คุมเข้มกันฟอกเงินด้วย KYC–Blockchain
โครงการ TouristDigiPay ที่ ก.ล.ต. กำลังผลักดันนี้ มีเป้าหมายหลักคือการอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวต่างชาติสามารถใช้จ่ายเงินดิจิทัลในประเทศไทยได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลและลดการใช้เงินสด จุดเด่นของระบบนี้คือการผสานเทคโนโลยี KYC ซึ่งเป็นกระบวนการยืนยันตัวตนลูกค้า เพื่อตรวจสอบและป้องกันความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการฟอกเงินและการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย นอกจากนี้ การนำเทคโนโลยี Blockchain มาใช้ จะช่วยเพิ่มความโปร่งใส ความปลอดภัย และความน่าเชื่อถือของธุรกรรม โดยทุกการทำธุรกรรมจะถูกบันทึกในรูปแบบที่แก้ไขไม่ได้บนเครือข่ายบล็อกเชน ทำให้สามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ง่ายและลดโอกาสในการฉ้อโกงได้อย่างมาก
การดำเนินการดังกล่าว ไม่เพียงแต่จะช่วยยกระดับประสบการณ์การท่องเที่ยวของชาวต่างชาติให้มีความสะดวกสบายมากขึ้น แต่ยังเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ในการกำกับดูแลด้านการเงินดิจิทัลในประเทศไทย ซึ่งอาจส่งผลให้ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศผู้นำด้านการใช้เงินดิจิทัลสำหรับการท่องเที่ยวในภูมิภาคนี้ ระบบ TouristDigiPay จะเข้ามาเติมเต็มช่องว่างที่ปัจจุบันนักท่องเที่ยวบางกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มที่คุ้นเคยกับการใช้เงินดิจิทัลในประเทศของตนเอง ยังคงประสบปัญหาในการใช้จ่ายในประเทศไทย ซึ่งบ่อยครั้งยังคงต้องพึ่งพาการแลกเปลี่ยนสกุลเงินแบบดั้งเดิมหรือการใช้บัตรเครดิตที่อาจมีค่าธรรมเนียมสูง การมีระบบนี้จะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายและขั้นตอนที่ไม่จำเป็นเหล่านั้นได้ และช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวให้เพิ่มขึ้นอีกด้วย
รายละเอียดต่อยอดจากประเด็นข้างต้น
การนำเทคโนโลยี KYC มาใช้ใน TouristDigiPay จะครอบคลุมถึงการตรวจสอบข้อมูลส่วนบุคคลของนักท่องเที่ยวอย่างละเอียดตั้งแต่ขั้นตอนการลงทะเบียน โดยอาจมีการเชื่อมโยงกับฐานข้อมูลทางการของประเทศต้นทางหรือผ่านแพลตฟอร์มยืนยันตัวตนดิจิทัลระหว่างประเทศ เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ใช้งานเป็นบุคคลที่มีตัวตนจริงและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย การยืนยันตัวตนนี้จะช่วยสร้างเกราะป้องกันชั้นแรกจากการฟอกเงินและการฉ้อโกง นอกจากนี้ ระบบจะมีการออกแบบมาให้สามารถระบุและแจ้งเตือนธุรกรรมที่น่าสงสัยได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นไปตามมาตรฐานสากลด้านการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (AML) ที่องค์กรระดับโลก เช่น Financial Action Task Force (FATF) กำหนดไว้ ทำให้ประเทศไทยสามารถรักษาภาพลักษณ์ที่ดีในด้านการกำกับดูแลทางการเงินระหว่างประเทศ
ในส่วนของ Blockchain นั้น จะถูกนำมาใช้เพื่อบันทึกข้อมูลธุรกรรมทางการเงินทั้งหมดในระบบ TouristDigiPay ซึ่งแต่ละธุรกรรมจะถูกเข้ารหัสและเชื่อมโยงกันเป็นห่วงโซ่ข้อมูล ทำให้ไม่สามารถแก้ไขหรือปลอมแปลงข้อมูลได้ ซึ่งเป็นการเพิ่มความปลอดภัยและความโปร่งใสในระดับสูงสุด นักท่องเที่ยวสามารถตรวจสอบประวัติการใช้จ่ายของตนเองได้แบบเรียลไทม์ และผู้ประกอบการก็สามารถมั่นใจได้ว่าการรับชำระเงินมีความน่าเชื่อถือและถูกต้องตามกฎหมาย นอกจากนี้ การใช้ Blockchain ยังสามารถรองรับปริมาณธุรกรรมจำนวนมากได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ระบบสามารถขยายตัวรองรับจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นได้อย่างไม่มีข้อจำกัดในอนาคต การพัฒนานี้ยังเป็นส่วนหนึ่งของการผลักดันให้ประเทศไทยก้าวเข้าสู่สังคมไร้เงินสดอย่างเต็มรูปแบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคการท่องเที่ยวซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ
สรุปข่าวทั้งหมด
โครงการ TouristDigiPay ที่ ก.ล.ต. กำลังเดินหน้าพัฒนา ถือเป็นก้าวสำคัญในการปฏิวัติระบบการชำระเงินสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติในประเทศไทย โดยการนำเทคโนโลยี KYC และ Blockchain มาใช้เป็นแกนหลักในการควบคุมดูแล จะช่วยสร้างความมั่นใจในความปลอดภัยและความโปร่งใสของธุรกรรมทางการเงินดิจิทัล พร้อมทั้งป้องกันปัญหาการฟอกเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ ระบบนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยยกระดับประสบการณ์การท่องเที่ยวให้สะดวกสบายยิ่งขึ้น แต่ยังเป็นการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับโครงสร้างพื้นฐานด้านการเงินดิจิทัลของประเทศไทย และแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีทางการเงินในระดับภูมิภาค การพัฒนาและนำร่องใช้ระบบนี้จึงเป็นสิ่งที่น่าติดตามอย่างใกล้ชิดถึงผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของประเทศในระยะยาว












