
โรม นายรังสิมันต์ โรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร (กมธ.ปปช.) แสดงความไม่พอใจอย่างมากกับการขาดประชุมของ ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า และศาสตราจารย์ ดร. นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ในการประชุม กมธ. มั่นคงฯ ซึ่งมีวาระสำคัญในการพิจารณาตรวจสอบการดำเนินการป้องกันและปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ สแกมเมอร์ และอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะประเด็นที่เชื่อมโยงกับกลุ่มทุนจีนสีเทา การขาดประชุมในครั้งนี้ทำให้การพิจารณาประเด็นสำคัญดังกล่าวไม่สามารถเดินหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างความเคลือบแคลงสงสัยถึงความจริงจังในการจัดการปัญหานี้ ซึ่งส่งผลกระทบต่อประชาชนจำนวนมาก
ประเด็นสำคัญจาก: “โรม” เซ็ง! “ธรรมนัส-นฤมล” เบี้ยว กมธ. มั่นคงฯ แจงปมสแกมเมอร์
การประชุมคณะกรรมาธิการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ (กมธ.ปปช.) ที่จัดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อพิจารณาประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ สแกมเมอร์ และอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ซึ่งเป็นปัญหาที่สร้างความเสียหายอย่างมหาศาลต่อประชาชนและเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มทุนจีนสีเทา ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่ามีความซับซ้อนและมีเครือข่ายโยงใยหลายฝ่าย นายรังสิมันต์ โรม ในฐานะประธาน กมธ. ได้เชิญ ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส. พะเยา และศาสตราจารย์ ดร. นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ส.ส. บัญชีรายชื่อ รวมถึงบุคคลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมให้ข้อมูลและชี้แจงต่อที่ประชุมเพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม
อย่างไรก็ตาม การขาดประชุมของบุคคลสำคัญทั้งสองท่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ร.อ. ธรรมนัส ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายที่เกี่ยวข้องกับภาคส่วนนี้ และ ศ.ดร. นฤมล ซึ่งเป็นนักวิชาการที่มีความเชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจและมีประสบการณ์ในการทำงานกับรัฐบาล สร้างความผิดหวังและตั้งคำถามถึงความรับผิดชอบและเจตนาในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว การแสดงความไม่พอใจของนายรังสิมันต์ โรม สื่อให้เห็นถึงความกังวลว่าการขาดความร่วมมือจากฝ่ายที่เกี่ยวข้อง อาจส่งผลให้การแก้ไขปัญหาสแกมเมอร์และอาชญากรรมทางเทคโนโลยีไร้ผล และอาจกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชนต่อการทำงานของรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในระยะยาว สถานการณ์เช่นนี้ยิ่งทำให้สาธารณชนเฝ้าจับตาดูว่ารัฐบาลจะดำเนินการอย่างไรต่อไปเพื่อเรียกความเชื่อมั่นคืนกลับมา
รายละเอียดต่อยอดจากประเด็นข้างต้น
การขยายผลการจับกุมและสอบสวนคดีแก๊งคอลเซ็นเตอร์และสแกมเมอร์ในประเทศไทยและภูมิภาค แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนของเครือข่ายอาชญากรรมดังกล่าว ข้อมูลจากหน่วยงานปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีระบุว่า คดีเหล่านี้มักโยงใยกับกลุ่มทุนต่างชาติ โดยเฉพาะกลุ่มทุนจีนสีเทา ซึ่งมีความสามารถในการหลบเลี่ยงกฎหมายและใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการก่ออาชญากรรม การเชิญ ร.อ. ธรรมนัส และ ศ.ดร. นฤมล เข้าร่วมประชุม กมธ.ปปช. นั้นเป็นไปเพื่อขอข้อมูลเชิงลึกและแนวทางการแก้ปัญหาจากมุมมองของผู้ที่เคยมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหานี้มาก่อน ทั้งในมิติของการป้องกันและปราบปราม รวมถึงการเยียวยาผู้เสียหาย ซึ่งข้อมูลเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการกำหนดนโยบายและการบังคับใช้กฎหมายที่แข็งแกร่งและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อปกป้องประชาชนจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
การที่บุคคลสำคัญระดับนี้ไม่เข้าร่วมประชุม ทำให้คณะกรรมาธิการฯ ขาดโอกาสในการรับฟังข้อมูลที่เป็นประโยชน์และมุมมองที่หลากหลาย ซึ่งอาจส่งผลให้การพิจารณาหรือข้อสรุปที่ได้ไม่ครอบคลุมรอบด้านเท่าที่ควร นอกจากนี้ยังอาจส่งผลต่อภาพลักษณ์ของความจริงจังในการทำงานของฝ่ายการเมืองและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนและเร่งด่วนนี้ เนื่องจากปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์และสแกมเมอร์ ไม่ใช่เพียงแค่ปัญหาอาชญากรรมทั่วไป แต่เป็นปัญหาที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคมโดยรวมของประเทศ ดังนั้น การแสดงความไม่พอใจของนายรังสิมันต์ โรม จึงเป็นการสะท้อนถึงความจำเป็นที่ทุกฝ่ายจะต้องให้ความร่วมมือและตระหนักถึงความเร่งด่วนของการแก้ไขปัญหานี้ร่วมกัน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความปลอดภัยให้กับประชาชนในประเทศ
สรุปข่าวทั้งหมด
เหตุการณ์ที่ ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า และ ศ.ดร. นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ไม่เข้าร่วมประชุมคณะกรรมาธิการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ (กมธ.ปปช.) เพื่อชี้แจงประเด็นเกี่ยวกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ สแกมเมอร์ และอาชญากรรมทางเทคโนโลยีที่โยงใยกับกลุ่มทุนจีนสีเทา สร้างความผิดหวังอย่างมากให้กับนายรังสิมันต์ โรม ประธาน กมธ.ปปช. การขาดความร่วมมือในครั้งนี้ถูกมองว่าเป็นการบั่นทอนความพยายามในการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมทางไซเบอร์ที่ทวีความรุนแรงและสร้างความเสียหายแก่ประชาชนเป็นวงกว้าง ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องการความจริงจังและการประสานงานจากทุกภาคส่วนอย่างเร่งด่วน ประชาชนจึงเฝ้าติดตามผลการดำเนินการของรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป เพื่อให้เกิดความชัดเจนและสามารถจัดการปัญหาเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและทันท่วงที โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและความมั่นคงของประเทศ.
		
			











