ภาพประกอบข่าว: พิพัฒน์ ถกค่าโดยสารรถไฟฟ้า ไม่ชัดทำทัน 31 ม.ค.69 หรือไม่ ชี้มีขั้นตอนอัยการ
เครดิตภาพ: Sunee

พิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.แรงงาน ในฐานะประธานกรรมการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ได้เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) รวมถึงการหารือเรื่องอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าทุกสาย โดยเฉพาะประเด็นที่ว่าหากสามารถกำหนดอัตราค่าโดยสารตลอดสาย 20 บาท ได้ตั้งแต่ 1 มกราคม 2567 ที่ผ่านมา จะมีผลต่อการต่อสัญญากับบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM อย่างไร พิพัฒน์ระบุว่า ได้หารือเรื่องนี้กับผู้ที่เกี่ยวข้องแล้ว แต่ยังต้องรอการตีความจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับอำนาจของ รฟม. ในการปรับลดอัตราค่าโดยสาร โดยในที่ประชุมยังต้องพิจารณาถึงความคุ้มค่าของการลงทุนภาครัฐและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น

ประเด็นสำคัญจาก: พิพัฒน์ ถกค่าโดยสารรถไฟฟ้า ไม่ชัดทำทัน 31 ม.ค.69 หรือไม่ ชี้มีขั้นตอนอัยการ

การหารือเรื่องค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายนี้ เป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญของรัฐบาลที่ต้องการลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชน อย่างไรก็ตาม การดำเนินการดังกล่าวมีความซับซ้อนและเกี่ยวข้องกับหลายภาคส่วน รวมถึงสัญญาเรื่องสัมปทานที่ รฟม. มีกับ BEM ซึ่งเป็นผู้เดินรถในปัจจุบัน พิพัฒน์ได้กล่าวว่า ที่ประชุมได้มีการพิจารณาถึงการกำหนดอัตราค่าโดยสารที่เหมาะสม โดยต้องคำนึงถึงรายได้ของ รฟม. และผลกระทบต่อสัญญาสัมปทานเดิม รวมถึงผลกระทบต่อบริษัทคู่สัญญาด้วย ซึ่งหากมีการปรับลดค่าโดยสารอาจส่งผลกระทบต่อรายได้ของ BEM และอาจต้องมีการชดเชย ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ

นอกจากนี้ ประเด็นสำคัญอีกประการหนึ่งคือขั้นตอนและกรอบระยะเวลาในการดำเนินการ ซึ่งพิพัฒน์ได้อธิบายว่า การปรับลดค่าโดยสารตลอดสาย 20 บาท ที่มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 ที่ผ่านมานั้น เป็นไปไม่ได้เลยในทางปฏิบัติ เนื่องจากต้องผ่านกระบวนการทางกฎหมายหลายขั้นตอน รวมถึงการได้รับอนุมัติจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และการพิจารณาผลกระทบต่างๆ อย่างถี่ถ้วน ที่ประชุมมีการนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับเงื่อนไขของสัญญาและผลกระทบหากมีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งจะต้องนำเสนอข้อมูลเหล่านี้ต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป อีกทั้งยังต้องคำนึงถึงงบประมาณในการดำเนินการและแหล่งที่มาของเงินทุนที่จะใช้ในการชดเชย หากมีการปรับลดค่าโดยสาร

ดังนั้น การดำเนินการตามนโยบายนี้จึงยังคงต้องใช้เวลาในการศึกษาและวิเคราะห์อย่างละเอียด พิพัฒน์ได้เสนอให้ศึกษาผลกระทบของการกำหนดอัตราค่าโดยสารดังกล่าวอย่างรอบด้าน ซึ่งรวมถึงการประเมินความคุ้มค่าของการลงทุน การวิเคราะห์ผลกระทบต่อผู้โดยสารและผู้ให้บริการ และการพิจารณาถึงแนวทางในการแก้ไขสัญญาหรือข้อตกลงเดิม หากจำเป็น เนื่องจากการกำหนดอัตราค่าโดยสาร 20 บาทตลอดสายนั้นเป็นนโยบายที่ส่งผลกระทบในวงกว้าง และเกี่ยวข้องกับงบประมาณภาครัฐจำนวนมาก

รายละเอียดต่อยอดจากประเด็นข้างต้น

ในการพิจารณาเรื่องค่าโดยสารรถไฟฟ้ารวม 20 บาทตลอดสายนั้น มีหลายมิติที่ต้องนำมาพิจารณาอย่างละเอียดประเด็นหลักคือเรื่องสัญญาที่มีอยู่กับเอกชน โดยเฉพาะกับ BEM ซึ่งเป็นผู้ให้บริการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินและสายสีม่วง หากมีการปรับลดค่าโดยสารโดยที่ไม่มีการชดเชยหรือมีการแก้ไขสัญญา จะส่งผลกระทบต่อสถานะทางการเงินของ BEM และอาจนำไปสู่ข้อพิพาททางกฎหมายได้ พิพัฒน์กล่าวว่า การพิจารณาเรื่องนี้ต้องทำอย่างละเอียดรอบคอบ เพราะเกี่ยวข้องกับข้อกฎหมายและการตีความอำนาจของ รฟม.ในการปรับแก้สัญญา ที่ประชุมจึงได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการปรึกษาสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อขอความเห็นทางกฎหมายที่ชัดเจน เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปอย่างถูกต้องและโปร่งใส ไม่เป็นข้อครหาในภายหลัง

นอกจากนี้ ในที่ประชุมยังได้มีการพูดคุยถึงความเป็นไปได้ในการดำเนินการให้ทันภายในวันที่ 31 มกราคม 2569 ซึ่งเป็นกำหนดการคร่าวๆ ที่ รมว.คมนาคมคนก่อนเคยให้ไว้ ซึ่งพิพัฒน์แสดงความไม่มั่นใจในกรอบเวลาดังกล่าว เนื่องจากกระบวนการที่ต้องผ่านหลายขั้นตอน รวมถึงการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี และขั้นตอนของอัยการสูงสุดที่เข้ามาเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะเรื่องของการตีความอำนาจและการแก้ไขสัญญาต่างๆ ซึ่งต้องใช้เวลาดำเนินการ ดังนั้น แม้รัฐบาลจะมีความตั้งใจที่จะดำเนินนโยบายนี้ให้สำเร็จ แต่ในทางปฏิบัติแล้วยังคงมีอุปสรรคและความท้าทายอยู่มากที่ต้องแก้ไขและจัดการอย่างเป็นระบบ การให้ความเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ถือเป็นส่วนสำคัญในการตัดสินใจเพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชนและประเทศชาติ

สรุปข่าวทั้งหมด

การหารือเรื่องอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย โดย รมว.แรงงาน พิพัฒน์ รัชกิจประการ ในฐานะประธานบอร์ด รฟม. แสดงให้เห็นถึงความพยายามของรัฐบาลในการลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชน อย่างไรก็ตาม การดำเนินการดังกล่าวมีความซับซ้อนและต้องผ่านกระบวนการทางกฎหมายหลายขั้นตอน รวมถึงการปรึกษาสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และการพิจารณาของอัยการ ผลกระทบต่อสัญญาสัมปทานกับเอกชน รวมถึงความคุ้มค่าของการลงทุนภาครัฐเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ พิพัฒน์ได้แสดงความไม่มั่นใจว่าโครงการจะดำเนินการแล้วเสร็จทันภายในวันที่ 31 มกราคม 2569 ตามที่เคยระบุไว้หรือไม่ เนื่องจากกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขสัญญาและข้อกฎหมายจำเป็นต้องใช้เวลา ทำให้ต้องมีการติดตามสถานการณ์และผลการพิจารณาจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดต่อไป เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์สูงสุดต่อทุกฝ่าย.

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here