ภาพประกอบข่าว:
เครดิตภาพ: https://www.pptvhd36.com

“มาริษ” เตือนรัฐบาลถึงความเสี่ยงที่ประเทศไทยอาจเป็นเพียง ‘หมาก’ หรือผู้ถูกใช้เป็นเครื่องมือในบันทึกความเข้าใจ (MOU) เกี่ยวกับแร่หายาก หากไม่มีการวางแผนเชิงยุทธศาสตร์ที่ชัดเจนและรอบคอบ โดยเฉพาะจากกรณีที่ปรากฏข่าวว่ามีการลงนาม MOU ระหว่างหน่วยงานภาครัฐของไทยกับบริษัทเอกชนรายใหญ่จากต่างประเทศ เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมแร่หายากในประเทศไทย ซึ่งเป็นทรัพยากรที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงและพลังงานสะอาดของโลก นายมาริษ สรภูมิศรีรัฐ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ได้แสดงความกังวลว่า หากรัฐบาลดำเนินการโดยขาดวิสัยทัศน์ที่ครอบคลุม อาจทำให้ไทยเสียเปรียบและไม่ได้รับประโยชน์สูงสุดจากทรัพยากรที่มีค่านี้ อีกทั้งยังอาจนำไปสู่ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมในระยะยาวหากไม่มีมาตรการป้องกันที่เพียงพอ

ประเด็นสำคัญจาก: “มาริษ” เตือนรัฐบาลอย่ายอมให้ไทยเป็นแค่หมากใน MOU “แร่หายาก”

ประเด็นสำคัญที่นายมาริษ สรภูมิศรีรัฐ ได้เน้นย้ำคือ การที่ประเทศไทยจำเป็นต้องมี “พิมพ์เขียว” และ “ยุทธศาสตร์” ที่ชัดเจนในการบริหารจัดการแร่หายาก ซึ่งเป็นทรัพยากรเชิงกลยุทธ์ที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและเทคโนโลยีของชาติ แร่หายากเป็นองค์ประกอบสำคัญในการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์, ยานยนต์ไฟฟ้า, อุปกรณ์พลังงานหมุนเวียน และอาวุธยุทโธปกรณ์ ทำให้หลายประเทศมหาอำนาจให้ความสำคัญและพยายามเข้าถึงแหล่งผลิต นายมาริษได้กล่าวว่า หากรัฐบาลไม่มีการวางแผนที่รัดกุม ประเทศไทยอาจตกอยู่ในสถานะผู้ส่งออกวัตถุดิบขั้นต้นเท่านั้น โดยไม่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มหรือพัฒนาอุตสาหกรรมต่อเนื่องได้ ซึ่งจะทำให้ไทยเสียโอกาสในการเป็นหนึ่งในผู้เล่นสำคัญในห่วงโซ่อุปทานแร่หายากของโลก นอกจากนี้ การทำเหมืองและการแปรรูปแร่หายากนั้นมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมสูง การขาดแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนอาจนำไปสู่ปัญหามลพิษและผลกระทบต่อชุมชนในพื้นที่ได้

ข้อกังวลหลักอีกประการหนึ่งคือ เงื่อนไขและข้อตกลงใน MOU ที่รัฐบาลไทยได้ลงนามไปแล้ว โดยนายมาริษได้ตั้งคำถามถึงความโปร่งใสและประโยชน์ที่ประเทศไทยจะได้รับอย่างแท้จริงจากข้อตกลงดังกล่าว ควรจะมีการเปิดเผยรายละเอียดของ MOU ให้สาธารณชนรับทราบและมีการพิจารณาอย่างรอบด้านจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้มั่นใจว่า MOU นั้นเป็นธรรมและไม่สร้างภาระหรือความเสียเปรียบให้กับประเทศในระยะยาว การทำเหมืองแร่หายากไม่ใช่แค่เรื่องของการขุดทรัพยากรขึ้นมา แต่ยังรวมถึงกระบวนการถลุงและแปรรูปซึ่งซับซ้อนและใช้เทคโนโลยีขั้นสูง หากประเทศไทยยังไม่มีขีดความสามารถในการแปรรูปแร่เอง การส่งออกแร่ในรูปของวัตถุดิบอาจเป็นการเสียโอกาสในการพัฒนาอุตสาหกรรมภายในประเทศ และกลายเป็นผู้ที่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างชาติ ซึ่งจะทำให้ไม่สามารถควบคุมราคาและคุณค่าของทรัพยากรของตนเองได้อย่างเต็มที่

รายละเอียดต่อยอดจากประเด็นข้างต้น

นายมาริษยังได้ย้ำถึงบทเรียนจากหลายประเทศที่เคยเป็นเพียงผู้ส่งออกวัตถุดิบและไม่สามารถพัฒนาอุตสาหกรรมต่อเนื่องได้ ซึ่งทำให้ประเทศเหล่านั้นไม่สามารถสร้างความมั่งคั่งจากทรัพยากรธรรมชาติของตนเองได้อย่างเต็มศักยภาพ สำหรับประเทศไทย การมีแหล่งแร่หายากถือเป็นแต้มต่อทางภูมิรัฐศาสตร์ที่สำคัญ ซึ่งหากมีการใช้ประโยชน์อย่างชาญฉลาดและมีวิสัยทัศน์ จะสามารถเปลี่ยนประเทศไทยจากผู้ผลิตวัตถุดิบไปสู่ผู้ผลิตสินค้าและนวัตกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มจากแร่หายากได้ โดยมีตัวอย่างจากหลายประเทศที่สามารถสร้างอุตสาหกรรมปลายน้ำจากแร่หายากได้สำเร็จ ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่การสกัดแร่ แต่ยังรวมถึงการผลิตชิ้นส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์ แบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้า และแม่เหล็กถาวร ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ใช้ในเทคโนโลยีสมัยใหม่ การที่ไทยจะก้าวไปถึงจุดนั้นได้ จำเป็นต้องมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยี และบุคลากร รวมไปถึงการสร้างระบบนิเวศอุตสาหกรรมที่เอื้อต่อการพัฒนา

นอกจากนี้ การจัดทำ “พิมพ์เขียว” และ “ยุทธศาสตร์” ที่กล่าวถึง ควรครอบคลุมประเด็นสำคัญหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการสำรวจและประเมินปริมาณแร่ที่แท้จริง, การกำหนดพื้นที่อนุรักษ์และการทำเหมือง, การลงทุนในเทคโนโลยีการสกัดและแปรรูปที่สะอาดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม, การพัฒนาบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ และการสร้างกลไกการกำกับดูแลที่โปร่งใสและมีประสิทธิภาพ เพื่อป้องกันการผูกขาดและการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ การเปิดโอกาสให้ภาคส่วนต่างๆ เช่น สถาบันการศึกษา หน่วยงานวิจัย และภาคประชาสังคม เข้ามามีส่วนร่วมในการวางแผนและตรวจสอบการดำเนินงาน จะเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นและทำให้แผนงานดังกล่าวได้รับการยอมรับและสนับสนุนจากทุกฝ่าย เพื่อให้แน่ใจว่าการพัฒนาแร่หายากของไทยจะเป็นไปเพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศชาติอย่างยั่งยืน

สรุปข่าวทั้งหมด

ข้อเตือนของนายมาริษ สรภูมิศรีรัฐ ถือเป็นการบ่งชี้ถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่รัฐบาลไทยจะต้องมีแผนยุทธศาสตร์ที่ชัดเจนและรอบด้านในการบริหารจัดการทรัพยากรแร่หายากของประเทศ การลงนาม MOU โดยปราศจาก “พิมพ์เขียว” ที่ครอบคลุมทั้งมิติทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม อาจนำไปสู่สถานะที่ประเทศไทยเป็นเพียง “หมาก” ในเกมอุตสาหกรรมแร่หายากระดับโลก โดยไม่ได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่และอาจเผชิญกับผลกระทบเชิงลบตามมา รัฐบาลควรเปิดเผยรายละเอียดของ MOU ให้สาธารณชนรับทราบ พร้อมทั้งรับฟังความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญและทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันกำหนดแนวทางที่จะทำให้ประเทศไทยสามารถใช้ประโยชน์จากแร่หายากได้อย่างยั่งยืน และพัฒนาจากผู้ส่งออกวัตถุดิบไปสู่การเป็นผู้ผลิตสินค้าและนวัตกรรมที่มีมูลค่าเพิ่ม เพื่อสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีให้กับประเทศในระยะยาว

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here