
ต่างชาติเที่ยวไทย ในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้ (มกราคม – ตุลาคม) มีจำนวนสะสมรวมทั้งสิ้น 26.8 ล้านคน สร้างรายได้หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจของประเทศถึง 1.2 ล้านล้านบาท ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวไทยที่กลับมาคึกคักอย่างต่อเนื่อง หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 คลี่คลายลง โดยจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญนี้ นับเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยให้กลับมาเติบโตและสร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการในหลากหลายภาคส่วน รวมถึงภาคบริการ โรงแรม ร้านอาหาร และธุรกิจที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวโดยตรง ซึ่งเป็นสัญญาณบวกสำหรับเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศในช่วงปลายปีและต้นปีหน้า
ประเด็นสำคัญจาก: ต่างชาติเที่ยวไทย 10 เดือนแรก 26.8 ล้านคน ปลุกเงินสะพัด 1.2 ล้านล้านบาท
ประเด็นสำคัญจากสถานการณ์การท่องเที่ยวของประเทศไทยในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้ คือการที่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศพุ่งสูงถึง 26.8 ล้านคน ซึ่งเป็นตัวเลขที่แสดงถึงความสำเร็จในการดึงดูดนักท่องเที่ยวกลับมาอีกครั้งหลังจากวิกฤตการณ์ที่ผ่านมา ตัวเลขดังกล่าวยังเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวที่มีต่อประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวที่สำคัญระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นความหลากหลายของแหล่งท่องเที่ยว วัฒนธรรมไทยที่มีเอกลักษณ์ อาหารที่เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก รวมถึงการบริการที่เป็นเลิศของบุคลากรในภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ซึ่งทั้งหมดนี้มีส่วนส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นที่นิยมและเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ ของนักเดินทางจากทั่วทุกมุมโลก
นอกจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่หลั่งไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่องแล้ว มูลค่าทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติก็เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่น่าจับตา โดยยอดเงินสะพัดกว่า 1.2 ล้านล้านบาทนี้ แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของภาคการท่องเที่ยวในการสร้างรายได้และกระตุ้นเศรษฐกิจในวงกว้าง ไม่ว่าจะเป็นค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่าซื้อสินค้าและของที่ระลึก รวมถึงการใช้บริการต่างๆ ภายในประเทศ ซึ่งเงินเหล่านี้ได้หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ สร้างงาน สร้างรายได้ให้กับประชาชนจำนวนมาก และยังเป็นแหล่งเงินทุนสำคัญที่ช่วยสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในท้องถิ่นอีกด้วย การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวยังช่วยเพิ่มกำลังซื้อและเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง (SMEs) ที่เกี่ยวข้อง
รายละเอียดต่อยอดจากประเด็นข้างต้น
การเติบโตของจำนวนนักท่องเที่ยวและรายได้จากการท่องเที่ยวในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา ตอกย้ำถึงความสำเร็จของนโยบายและมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวของภาครัฐและเอกชนที่ทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ การเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวอย่างเต็มรูปแบบ การผ่อนคลายมาตรการการเดินทาง การจัดกิจกรรมและเทศกาลต่างๆ เพื่อดึงดูดความสนใจ รวมถึงการส่งเสริมการตลาดและการประชาสัมพันธ์ประเทศไทยในเวทีโลก ล้วนมีส่วนช่วยผลักดันให้ภาคการท่องเที่ยวกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรการอำนวยความสะดวกในการเดินทาง เช่น การยกเว้นการตรวจลงตรา (วีซ่า) สำหรับบางประเทศ ได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมจากนักท่องเที่ยว และเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยกระตุ้นการตัดสินใจเดินทางมายังประเทศไทย
นอกจากนี้ การฟื้นตัวของตลาดหลักอย่างนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคเอเชีย เช่น จีน มาเลเซีย อินเดีย และเกาหลีใต้ รวมถึงนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคอื่นๆ ทั่วโลก ก็มีส่วนสำคัญในการผลักดันให้ตัวเลขการท่องเที่ยวเติบโตอย่างก้าวกระโดด ประเทศไทยยังคงเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจสำหรับนักท่องเที่ยวที่แสวงหาประสบการณ์ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม การท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ หรือการท่องเที่ยวเชิงอาหาร การมุ่งเน้นการส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน และการพัฒนาคุณภาพการบริการในทุกๆ ด้าน จะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยรักษาและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในระยะยาวต่อไป
สรุปข่าวทั้งหมด
สรุปได้ว่า ภาพรวมของภาคการท่องเที่ยวไทยในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้ แสดงให้เห็นถึงการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งและมีนัยสำคัญ โดยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาในประเทศแล้วถึง 26.8 ล้านคน และสามารถสร้างรายได้หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจสูงถึง 1.2 ล้านล้านบาท ตัวเลขเหล่านี้ไม่เพียงแค่สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวต่อประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องยืนยันถึงศักยภาพของภาคการท่องเที่ยวในการเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของชาติ ทำให้เกิดการจ้างงานและกระจายรายได้สู่ชุมชน การเติบโตนี้เป็นผลมาจากความร่วมมือของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐและเอกชนในการดำเนินนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ ซึ่งส่งสัญญาณที่ดีสำหรับการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในภาพรวม และคาดว่าแนวโน้มการฟื้นตัวจะยังคงดำเนินต่อไปในอนาคต
		
			











