
เอกนิติ เผย — นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร ได้เปิดเผยถึงประเด็นสำคัญว่า นายกรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบและสนับสนุนอย่างเต็มที่ในการปราบปรามและจัดการกับ “เงินเทา” อย่างเด็ดขาด โดยย้ำว่าการดำเนินการครั้งนี้จะครอบคลุมทุกระดับชั้น ไม่มีการละเว้นบุคคลหรือตำแหน่งใดๆ ทั้งนี้ เป็นการตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ และการส่งเสริมธรรมาภิบาลและความโปร่งใสในระบบเศรษฐกิจของประเทศ การเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความพยายามของหน่วยงานภาครัฐหลายภาคส่วนในการกวาดล้างกลุ่มผู้มีอิทธิพลและธุรกิจผิดกฎหมายที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมโดยรวม เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนและนักลงทุน
ประเด็นสำคัญจาก: เอกนิติ เผย นายกฯ ไฟเขียวจัดการเงินเทาเต็มระบบ ไม่เว้นตำแหน่งใด
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวถึงความคืบหน้าในการปราบปรามเงินเทา โดยเน้นย้ำว่านายกรัฐมนตรีได้มอบนโยบายที่ชัดเจนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน โดยเฉพาะกรมสรรพากร ดำเนินการอย่างจริงจังและครอบคลุมทุกมิติ การดำเนินการนี้ไม่ได้มุ่งเป้าไปที่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเป็นการเฉพาะ แต่เป็นการปราบปรามเครือข่ายเงินเทาทั้งระบบ ตั้งแต่ผู้กระทำผิดรายใหญ่ไปจนถึงผู้สนับสนุนหรือผู้ที่ได้รับผลประโยชน์จากกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย โดยที่ไม่มีข้อยกเว้นสำหรับตำแหน่งหรือสถานะทางสังคมใดๆ
การดำเนินการดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความจริงจังของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาการทุจริตและการฟอกเงิน ซึ่งเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม การที่นายกรัฐมนตรีเข้ามาสั่งการด้วยตนเองเป็นการแสดงให้เห็นถึงความตระหนักถึงความเร่งด่วนและความสำคัญของปัญหานี้ และคาดว่าจะมีการประสานงานระหว่างหน่วยงานต่างๆ เช่น กรมสรรพากร ปปง. สตช. และหน่วยงานด้านความมั่นคง เพื่อให้การปราบปรามเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยมีเป้าหมายเพื่อนำเงินที่ได้จากการกระทำผิดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจที่โปร่งใส และนำไปใช้ในการพัฒนาประเทศต่อไป
นอกจากนี้ การจัดการกับ “เงินเทา” ยังรวมถึงการตรวจสอบแหล่งที่มาของรายได้และทรัพย์สินที่ผิดปกติ การพิจารณาความเชื่อมโยงกับกิจกรรมอาชญากรรม รวมถึงการพนันออนไลน์ ยาเสพติด หรือการทุจริตในภาครัฐและเอกชน ซึ่งส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อระบบภาษีและเศรษฐกิจโดยรวม การที่รัฐบาลประกาศจุดยืนที่ชัดเจนเช่นนี้ คาดว่าจะสร้างความหวาดกลัวให้กับกลุ่มผู้กระทำผิดและกระตุ้นให้เกิดการปฏิบัติตามกฎหมายมากขึ้นในระยะยาว
รายละเอียดต่อยอดจากประเด็นข้างต้น
หนึ่งในกลไกสำคัญที่จะถูกนำมาใช้ในการจัดการกับเงินเทาคือการตรวจสอบและวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงินอย่างละเอียด โดยกรมสรรพากรจะใช้เทคโนโลยีและเครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) เพื่อระบุความผิดปกติของธุรกรรมทางการเงินและเครือข่ายผู้กระทำผิด การประสานงานกับสถาบันการเงินและหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) จะเป็นหัวใจสำคัญในการติดตามเส้นทางการเงิน และยึดอายัดทรัพย์สินที่ได้มาโดยมิชอบ
นายเอกนิติยังได้กล่าวถึงการให้ความสำคัญกับการสร้างความเข้าใจและการมีส่วนร่วมจากภาคประชาชน เพื่อช่วยในการแจ้งเบาะแสและเฝ้าระวังพฤติกรรมที่อาจเข้าข่าย “เงินเทา” การมีส่วนร่วมของสาธารณชนจะช่วยเสริมสร้างประสิทธิภาพในการปราบปราม เนื่องจากเครือข่ายเงินเทามักจะแผ่ขยายไปในหลายมิติ การปราบปรามอย่างเด็ดขาดนี้ยังจะส่งผลดีต่อภาพลักษณ์ของประเทศในการเป็นศูนย์กลางการลงทุนที่มีธรรมาภิบาล และสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศว่ารัฐบาลมีความจริงจังในการสร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เป็นธรรมและโปร่งใส
อีกทั้ง การดำเนินการนี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่การปราบปรามและลงโทษผู้กระทำผิด แต่ยังรวมถึงการสร้างมาตรการป้องกันในระยะยาว เพื่อไม่ให้เกิดช่องว่างสำหรับ “เงินเทา” เข้ามาในระบบเศรษฐกิจได้อีกในอนาคต ซึ่งอาจรวมถึงการปรับปรุงกฎหมาย ระเบียบข้อบังคับ และการเสริมสร้างความเข้มแข็งของหน่วยงานกำกับดูแล เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลในการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย กรมสรรพากรเองจะทุ่มเทเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายไว้อย่างเต็มกำลัง
สรุปข่าวทั้งหมด
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร ได้เปิดเผยว่านายกรัฐมนตรีได้ให้ไฟเขียวและสนับสนุนการจัดการกับ “เงินเทา” อย่างเต็มรูปแบบและเด็ดขาด โดยไม่เว้นตำแหน่งหรือบุคคลใดๆ ซึ่งแสดงถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ การดำเนินการนี้จะครอบคลุมทุกภาคส่วนและใช้กลไกการตรวจสอบข้อมูลทางการเงินขั้นสูง รวมถึงการประสานงานกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ ปปง. และ สตช. เพื่อติดตามเส้นทางการเงินและยึดทรัพย์สินที่ได้มาโดยมิชอบ นอกจากนี้ ยังเน้นการสร้างความเข้าใจและการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการแจ้งเบาะแส เพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพในการปราบปราม และจะนำไปสู่การปรับปรุงมาตรการป้องกันในระยะยาว เพื่อให้ระบบเศรษฐกิจของประเทศมีความโปร่งใสและน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อภาพลักษณ์และการลงทุนของประเทศในอนาคต












