
รมว.พาณิชย์ – นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้เปิดเผยถึงนโยบายเร่งด่วน 7 ด้าน ที่วางแผนจะดำเนินการในปี 2567 โดยมีเป้าหมายหลักในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางการค้าของประเทศไทย ลดภาระค่าครองชีพของประชาชน และใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาขับเคลื่อนการค้าให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นโยบายเหล่านี้ครอบคลุมทั้งการส่งเสริมการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อยกระดับธุรกิจ การเร่งทำข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับประเทศคู่ค้าสำคัญ และการดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคให้เป็นธรรม เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชนในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน การประกาศนโยบายครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของกระทรวงพาณิชย์ในการปรับปรุงและพัฒนาระบบการค้าของประเทศให้ทันสมัยและตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนและภาคธุรกิจอย่างรอบด้าน
ประเด็นสำคัญจาก: รมว.พาณิชย์ เผย 7 นโยบายเร่งด่วน เน้น AI-ลดค่าครองชีพ-ต่อยอด FTA
นโยบายเร่งด่วน 7 ด้านที่กระทรวงพาณิชย์เตรียมผลักดันในปี 2567 มุ่งเน้นการสร้างความได้เปรียบทางการค้าและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ประเด็นสำคัญประการแรกคือการส่งเสริมการใช้ AI เพื่อยกระดับภาคธุรกิจไทย โดยเฉพาะ SMEs ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต การตลาด และการจัดการข้อมูล รวมถึงการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำขึ้น การนำ AI มาประยุกต์ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลการตลาดและพฤติกรรมผู้บริโภคจะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถวางแผนกลยุทธ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ประเด็นที่สองคือการเดินหน้าเจรจาและต่อยอดข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับประเทศคู่ค้าสำคัญอย่างต่อเนื่อง การทำ FTA ถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการขยายตลาดส่งออก ลดอุปสรรคทางการค้า และเพิ่มโอกาสให้กับสินค้าและบริการของไทยในตลาดโลก รวมถึงการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ นอกจากนี้ การทบทวนและปรับปรุง FTA ที่มีอยู่ให้มีความทันสมัยและตอบสนองต่อพลวัตทางการค้าที่เปลี่ยนแปลงไปก็เป็นอีกส่วนหนึ่งของนโยบายนี้ การขยายเครือข่าย FTA จะช่วยให้ผู้ประกอบการไทยสามารถแข่งขันได้ดีขึ้นในเวทีการค้าโลก
นอกจากนี้ การดูแลค่าครองชีพของประชาชนก็เป็นอีกหนึ่งนโยบายหลักที่กระทรวงพาณิชย์ให้ความสำคัญ โดยมีมาตรการในการควบคุมและตรวจสอบราคาสินค้าอุปโภคบริโภคไม่ให้สูงเกินจริง รวมถึงการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายเพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับประชาชน เช่น การจัดงานธงฟ้า การส่งเสริมการขายผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ และการประสานงานกับผู้ประกอบการเพื่อตรึงราคาสินค้าที่จำเป็น การสร้างความมั่นใจว่าประชาชนสามารถเข้าถึงสินค้าที่จำเป็นในราคาที่เหมาะสมจะเป็นการช่วยบรรเทาความเดือดร้อนในสภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทาย
รายละเอียดต่อยอดจากประเด็นข้างต้น
ในส่วนของการส่งเสริม AI นั้น กระทรวงพาณิชย์เล็งเห็นถึงความจำเป็นในการยกระดับขีดความสามารถด้านเทคโนโลยีของภาคธุรกิจไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่อาจยังขาดความพร้อมและองค์ความรู้ในการนำ AI มาปรับใช้ นโยบายจะเน้นการจัดอบรม สัมมนา และให้คำปรึกษาแก่ผู้ประกอบการ พร้อมทั้งสนับสนุนการเข้าถึงเทคโนโลยี AI ที่เหมาะสมกับธุรกิจแต่ละประเภท เช่น AI สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า AI สำหรับบริหารจัดการคลังสินค้า หรือ AI สำหรับการเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลและบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้าน AI จะเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายนี้
สำหรับการขยายและต่อยอด FTA นั้น กระทรวงพาณิชย์มีแผนที่จะเร่งรัดการเจรจากับประเทศและกลุ่มเศรษฐกิจที่มีศักยภาพ อาทิ กลุ่มประเทศในภูมิภาคเอเชียใต้ ตะวันออกกลาง และแอฟริกา เพื่อเปิดตลาดใหม่ๆ ให้กับสินค้าและบริการของไทย พร้อมกันนี้ ยังมีการดำเนินการเพื่อปรับปรุงเงื่อนไขและข้อตกลงบางประการใน FTA ที่มีอยู่เดิม ให้มีความยืดหยุ่นและเอื้อประโยชน์ต่อผู้ประกอบการไทยมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการลดภาษีนำเข้า-ส่งออก การลดอุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษี และการอำนวยความสะดวกในการเคลื่อนย้ายสินค้าและบริการ การดำเนินการเหล่านี้จะช่วยเพิ่มการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศได้อย่างยั่งยืน และสร้างรายได้ให้กับประเทศในระยะยาว
สรุปข่าวทั้งหมด
นโยบายเร่งด่วน 7 ด้านของกระทรวงพาณิชย์ในปี 2567 สะท้อนถึงความพยายามของรัฐบาลในการรับมือกับความท้าทายทางเศรษฐกิจและยกระดับศักยภาพทางการค้าของประเทศไทยอย่างรอบด้าน การมุ่งเน้นการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะเป็นกลไกสำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจไทย โดยเฉพาะ SMEs ขณะที่การเร่งรัดการเจรจาและต่อยอดข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) จะช่วยขยายโอกาสทางการตลาดและลดอุปสรรคทางการค้า การดูแลและลดภาระค่าครองชีพของประชาชนผ่านการควบคุมราคาสินค้าและการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายก็เป็นอีกหนึ่งเสาหลักที่แสดงถึงความห่วงใยต่อความเป็นอยู่ของประชาชนในวงกว้าง นโยบายเหล่านี้หากสามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะเป็นรากฐานสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนในอนาคต












