
จับแล้ว “นิสิต สินธุไพร” อดีตแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือกลุ่มคนเสื้อแดง ซึ่งเป็นนักโทษหลบหนีคดีความผิดฐานวางเพลิงเผาทรัพย์และทำให้เสียทรัพย์ ในเหตุการณ์ล้มการประชุมอาเซียนซัมมิตที่พัทยาเมื่อปี พ.ศ. 2552 โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมตัวได้ขณะเดินทางไปเยี่ยมญาติที่หมู่บ้านในพื้นที่อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา หลังจากที่ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตแกนนำ นปช. ได้โพสต์เฟซบุ๊กแจ้งข่าวการถูกจับกุมตัวของนายณัฐวุฒิ และคาดว่าจะถูกนำตัวมาดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรมต่อไป การจับกุมครั้งนี้เกิดขึ้นภายหลังจากที่ศาลฎีกามีคำสั่งพิพากษาในคดีดังกล่าว ซึ่งเป็นคดีที่ได้รับความสนใจจากสาธารณชนมาเป็นเวลานาน สะท้อนให้เห็นถึงความต่อเนื่องของการบังคับใช้กฎหมาย แม้เวลาจะผ่านมาหลายปีแล้วก็ตาม.
ประเด็นสำคัญจาก: จับแล้ว “นิสิต สินธุไพร” แกนนำคนเสื้อแดง หลบหนีคดีล้มประชุมอาเซียนซัมมิต ปี 52
การจับกุมตัว นาย นิสิต สินธุไพร เป็นประเด็นสำคัญที่สะท้อนถึงการดำเนินการของกระบวนการยุติธรรมที่ยังคงเดินหน้าต่อเนื่อง แม้คดีจะเกิดขึ้นมานานกว่าทศวรรษแล้วก็ตาม นาย นิสิต เป็นหนึ่งในจำเลยสำคัญของคดีความวุ่นวายที่เกิดขึ้นระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียนที่เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2552 ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่สร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์และเศรษฐกิจของประเทศอย่างมากในขณะนั้น เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้การประชุมระดับผู้นำระหว่างประเทศต้องถูกยกเลิกกะทันหัน และมีการปะทะกันระหว่างกลุ่มผู้ชุมนุมกับเจ้าหน้าที่ รวมถึงความเสียหายต่อทรัพย์สินหลายรายการ
คดีนี้มีจำเลยหลายคนซึ่งรวมถึงแกนนำ นปช. คนอื่นๆ ที่ถูกดำเนินคดีและได้รับโทษตามกฎหมายไปแล้ว การจับกุมนาย นิสิต ในครั้งนี้จึงเป็นการปิดฉากคดีความของจำเลยหลักที่หลบหนี ซึ่งเป็นผลมาจากการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการติดตามจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับค้างเก่า การโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กของ นาย ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่เป็นคนเสื้อแดงด้วยกัน ยิ่งตอกย้ำความน่าเชื่อถือของข่าวการจับกุม และบ่งชี้ว่าประเด็นนี้ยังคงเป็นที่สนใจของสังคม โดยเฉพาะกลุ่มผู้สนับสนุนทางการเมืองที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในอดีต
รายละเอียดต่อยอดจากประเด็นข้างต้น
เหตุการณ์การล้มประชุมอาเซียนซัมมิต พ.ศ. 2552 ถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมืองที่สำคัญของประเทศไทย โดยมีแกนนำ นปช. หลายคนถูกศาลพิพากษาจำคุกไปแล้วก่อนหน้านี้ รวมถึง นาย วีระ มุสิกพงศ์, นาย จตุพร พรหมพันธุ์, นาย ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และ นาย อริสมันต์ พงศ์เรืองรอง ซึ่งเป็นบุคคลที่มีบทบาทสำคัญในการนำการชุมนุม เหตุการณ์ดังกล่าวเริ่มต้นขึ้นเมื่อกลุ่มผู้ชุมนุมซึ่งรวมตัวกันที่พัทยา ได้บุกเข้าไปในสถานที่จัดการประชุม คือ โรงแรมรอยัล คลิฟ บีช รีสอร์ท และทำให้การประชุมต้องหยุดชะงักลง โดยในช่วงเวลาดังกล่าว มีความพยายามที่จะควบคุมสถานการณ์อย่างเข้มงวดจากภาครัฐ แต่ก็ไม่สามารถยับยั้งความวุ่นวายได้อย่างสมบูรณ์ เหตุการณ์นี้ไม่เพียงแค่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางการเมืองเท่านั้น แต่ยังทำให้ประเทศไทยถูกจับตามองจากนานาชาติในฐานะประเทศที่มีความไม่สงบภายใน ซึ่งส่งผลต่อเนื่องต่อการลงทุนและการท่องเที่ยว
คดีความที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ได้มีการพิจารณาในชั้นศาลมาอย่างยาวนาน และมีจำเลยบางส่วนที่ถูกยกฟ้องไปก็มี แต่สำหรับผู้ที่ถูกดำเนินคดีจนถึงที่สุดและต้องรับโทษ ก็เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมของศาลฎีกา สำหรับนาย นิสิต สินธุไพร นั้น การที่เขาหลบหนีคดีมาเป็นระยะเวลานาน ทำให้ต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการติดตามจับกุม เพื่อนำตัวมาสู่การดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรม โดยการจับกุมครั้งนี้เกิดขึ้นในจังหวัดสงขลา แสดงให้เห็นถึงขอบเขตการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ไม่จำกัดเฉพาะพื้นที่ที่เกิดเหตุเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมทั่วประเทศ เพื่อบังคับใช้กฎหมายกับผู้กระทำความผิดที่อยู่ระหว่างการหลบหนี
สรุปข่าวทั้งหมด
การจับกุม นาย นิสิต สินธุไพร อดีตแกนนำคนเสื้อแดง ผู้ต้องหาหลบหนีคดีล้มการประชุมอาเซียนซัมมิตเมื่อปี 2552 แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของกระบวนการยุติธรรมในการนำผู้กระทำผิดมารับโทษตามกฎหมาย ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าใดก็ตาม เหตุการณ์ในครั้งนั้นเป็นหนึ่งในรอยประวัติศาสตร์ทางการเมืองที่สำคัญของไทย และการบังคับใช้กฎหมายกับผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด สะท้อนถึงหลักนิติธรรมที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง การจับกุมนาย นิสิต ในครั้งนี้จึงถือเป็นการปิดคดีสำคัญอีกหนึ่งหนึ่งคดี และเป็นเครื่องเตือนใจว่าการกระทำความผิดจะได้รับการพิจารณาและลงโทษตามขั้นตอนของกฎหมายเสมอ ซึ่งเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับสังคมและกระบวนการยุติธรรมของประเทศในระยะยาว












