
อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้เน้นย้ำถึงการเร่งรัดปราบปรามกลุ่มสแกมเมอร์และขบวนการคอลเซ็นเตอร์อย่างจริงจัง ภายใต้การบูรณาการความร่วมมือกับหลายหน่วยงาน ทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (MDES) และธนาคารแห่งประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีการหลอกลวงที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนและการใช้ชื่อบุคคลสาธารณะเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ มุ่งเน้นการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีที่สร้างความเสียหายแก่ประชาชนในวงกว้าง ได้กล่าวถึงความสำเร็จในการดำเนินการจับกุมและยับยั้งการโอนเงินคืนแก่ผู้เสียหายไปแล้วเป็นจำนวนมาก พร้อมทั้งย้ำถึงการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และビッグดาต้า (Big Data) มาช่วยในการวิเคราะห์และติดตามกลุ่มผู้กระทำผิดอย่างมีประสิทธิภาพ โดยขณะนี้มีการจับตามองกลุ่มบุคคลมีชื่อเสียงที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้อง หรือถูกนำชื่อไปใช้ในการหลอกลวง รวมถึงการมุ่งเน้นไปยังกลุ่มมิจฉาชีพที่ย้ายฐานปฏิบัติการไปยังประเทศเพื่อนบ้าน โดยมีการประสานงานกับประเทศเหล่านั้นเพื่อขยายผลการจับกุมและปราบปรามให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น
ประเด็นสำคัญจาก: “อนุทิน” ลุยปราบสแกมเมอร์ เผยจับตากลุ่มบุคคลมีชื่อเสียง
นายอนุทิน ชาญวีรกูล ได้เปิดเผยถึงความคืบหน้าและทิศทางในการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มมิจฉาชีพที่ใช้กลโกงต่างๆ เพื่อหลอกลวงทรัพย์สินของประชาชน ไม่ว่าจะเป็นการหลอกลงทุน หลอกให้ดาวน์โหลดแอปพลิเคชันดูดเงิน หรือการปลอมแปลงตัวตนเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ ซึ่งปัญหานี้นับเป็นภัยคุกคามที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมในวงกว้าง ทางรัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีได้ให้ความสำคัญกับการปราบปรามปัญหานี้อย่างเร่งด่วน โดยมีเป้าหมายหลักคือการหยุดยั้งความเสียหายที่เกิดขึ้นกับประชาชน และนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษตามกฎหมาย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความปลอดภัยในสังคมดิจิทัล ซึ่งการดำเนินการนี้ไม่ใช่เพียงแค่การไล่ตามจับกุม แต่ยังรวมถึงการสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับประชาชนเพื่อป้องกันตนเองจากการตกเป็นเหยื่อ
การดำเนินการของภาครัฐได้มีการประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด อาทิ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (PCT), กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (MDES) ที่มีบทบาทสำคัญในการผลักดันกฎหมายและมาตรการป้องกัน, และธนาคารแห่งประเทศไทยที่ช่วยในเรื่องการติดตามเส้นทางการเงินและยับยั้งการโอนเงิน เพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพและครอบคลุมทุกมิติ โดยได้มีการจัดการประชุมคณะกรรมการประจำสัปดาห์เพื่อติดตามความคืบหน้าและประเมินผลการปฏิบัติงาน เพื่อให้ทุกฝ่ายทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง การปราบปรามกลุ่มมิจฉาชีพเหล่านี้ต้องอาศัยกลยุทธ์ที่หลากหลาย ไม่ใช่แค่การดำเนินคดี แต่ยังต้องมีการสกัดกั้นช่องทางที่มิจฉาชีพใช้ในการสื่อสารและเข้าถึงประชาชน รวมถึงการปิดกั้นบัญชีม้าและเบอร์โทรศัพท์ที่ใช้ในการหลอกลวง
รายละเอียดต่อยอดจากประเด็นข้างต้น
หนึ่งในมาตรการสำคัญที่นายอนุทินได้กล่าวถึงคือการใช้เทคโนโลยีขั้นสูง อย่างปัญญาประดิษฐ์ (AI) และビッグดาต้า (Big Data) เข้ามาช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อให้สามารถระบุรูปแบบพฤติกรรมการหลอกลวงของมิจฉาชีพ และติดตามกลุ่มผู้กระทำผิดได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น การใช้ AI จะช่วยในการประมวลผลข้อมูลจำนวนมหาศาลจากหลายแหล่ง เพื่อค้นหาความเชื่อมโยงและเป้าหมายที่คาดว่าจะเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดได้อย่างรวดเร็ว ในขณะที่ Big Data จะช่วยให้เห็นภาพรวมของเครือข่ายมิจฉาชีพ และสามารถวางแผนการเข้าจับกุมได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังมีการย้ำให้ธนาคารและผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือเข้มงวดในการตรวจสอบข้อมูลของผู้เปิดบัญชีใหม่และผู้ลงทะเบียนซิมการ์ด เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือของมิจฉาชีพ โดยเชื่อว่ามาตรการเหล่านี้จะช่วยลดช่องว่างและโอกาสในการก่ออาชญากรรมทางเทคโนโลยีได้อย่างมาก
อีกประเด็นที่น่าจับตาคือการเฝ้าระวังกลุ่มบุคคลมีชื่อเสียงที่อาจถูกนำชื่อไปใช้ในการหลอกลวง หรืออาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการมิจฉาชีพ แม้ว่าจะยังไม่มีการเปิดเผยรายชื่ออย่างเป็นทางการ แต่การที่นายอนุทินได้กล่าวถึงประเด็นนี้ แสดงให้เห็นถึงความจริงจังของภาครัฐในการขยายผลการตรวจสอบไปยังทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะบุคคลที่มีอิทธิพลต่อสังคม การนำชื่อหรือภาพลักษณ์ของบุคคลที่มีชื่อเสียงไปใช้ในการชักชวนให้ลงทุนหรือทำกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย เป็นกลยุทธ์ที่มิจฉาชีพมักจะใช้เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและหลอกลวงเหยื่อได้ง่ายขึ้น ซึ่งหากพบหลักฐานว่าบุคคลมีชื่อเสียงใดมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด จะมีการดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาดโดยไม่มีข้อยกเว้น นอกจากนี้ การขยายผลไปยังกลุ่มมิจฉาชีพที่ย้ายฐานปฏิบัติการไปประเทศเพื่อนบ้าน ก็เป็นอีกหนึ่งความท้าทายที่ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศ ซึ่งทางรัฐบาลไทยได้มีการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในประเทศเพื่อนบ้านเพื่อขอความร่วมมือในการปราบปรามและส่งผู้ร้ายข้ามแดน เพื่อให้ขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติเหล่านี้ไม่สามารถลอยนวลได้
สรุปข่าวทั้งหมด
การปราบปรามกลุ่มสแกมเมอร์และอาชญากรรมทางเทคโนโลยีเป็นภารกิจสำคัญที่รัฐบาลภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล กำลังเร่งดำเนินการอย่างจริงจัง ด้วยการบูรณาการความร่วมมือจากหลายหน่วยงาน และการนำเทคโนโลยี AI และ Big Data มาใช้ในการวิเคราะห์และติดตามกลุ่มผู้กระทำผิด นอกจากนี้ยังมีการจับตามองบุคคลมีชื่อเสียงที่อาจถูกนำชื่อไปใช้หรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับการหลอกลวง รวมถึงการขยายผลการจับกุมไปยังกลุ่มมิจฉาชีพที่เคลื่อนย้ายฐานปฏิบัติการไปยังต่างประเทศ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของภาครัฐที่จะสร้างความปลอดภัยในโลกออนไลน์ให้กับประชาชนทุกคน แผนการดำเนินการดังกล่าวคาดว่าจะช่วยลดปัญหาการถูกหลอกลวงได้อย่างมีนัยสำคัญ และนำผู้กระทำผิดมาลงโทษตามกฎหมาย เพื่อยับยั้งความเสียหายที่เกิดขึ้นกับประชาชนในระยะยาว และสร้างความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลของประเทศต่อไป












